วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

“ต้อง” ร่ำไห้แฉ “ยุ้ย” หมดพุง สุดเกลียดปากอย่างใจอย่าง


“ต้อง” ไม่แคร์เปิดอกเกลียด “ยุ้ย จีรนันท์” เพราะปากอย่างใจอย่าง บอกว่าเป็นเพื่อนกับ “ธันญ์” แต่กลับให้สัมภาษณ์ว่าเป็นคนที่ดีที่สุดสนิทสุด เผยสงสัยมานานว่าคบกันเกินเพื่อนเพราะมีพิรุธเรื่องโทร แถมธันญ์ทำตัวห่างเหินไปเที่ยวกับยุ้ยตลอด สุดแค้นยุ้ยโทรฟ้องฝ่ายชายที่ตนไปสัมภาษณ์คู่ด้วย บอกต้องรักษาภาพนางเอก ! ช้ำแค่นี้ก็รู้แล้วว่าผู้ชายจะเลือกใคร

ขึ้นชื่อว่าเป็นนางเอกที่มีภาพลักษณ์เรียบร้อยยังกับผ้าพับไว้ แถมยังกตัญญูเลี้ยงดูครอบครัว จนได้ชื่อว่าเป็นนางเอกน้ำดีในวงการ แต่เมื่อ 2 ปีก่อนก็มีภาพหลุด “ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม” นุ่งชุดนอนสวมทองเส้นโตกำลังเป่าเทียนแฮบปี้เบิร์ธเดย์โดยมีหนุ่มวัยกลางคนนั่งอยู่ข้างกาย ทำเอาภาพลักษณ์ของยุ้ยดิ่งลงเหวทันที อย่างไรก็ตามยุ้ยก็ได้ออกมาแก้ต่างว่า เป็นเพียงผู้มีพระคุณคนหนึ่งเท่านั้น ด้านฝ่ายชายเองก็ไม่ได้ออกมาปริปากว่าเท็จจริงเหมือนที่นางเอกพูดไว้แต่ประการใด งานนี้ก็เลยต้องยกผลประโยชน์ให้กับจำเลย เป็นอันว่าสอบผ่านข่าวฉาวไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด

แต่ล่าสุดยุ้ยก็มาเสียรังวัดให้กับ “ต้อง ศุภัชญา รื่นเริง” จนได้ หลังจากที่ออกมาปฏิเสธความสัมพันธ์กับ “ธันญ์ ธนากร” นักแสดงในสังกัดสปีดวันของตัวเอง แฟนหนุ่มของต้องมาตลอดว่า ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกว่าคำว่าเพื่อน ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ใช่มือที่สามระหว่างต้องกับธันญ์อย่างแน่นอน

ด้านต้องเองก็เลือกที่จะสงบปากสงบข่าวไม่พูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปปีกว่าต้องก็ได้ไปออกรายการ “ล้วงลับตับแตก” และสารภาพตรงๆ แบบช็อกวงการว่า เกลียดยุ้ยเพราะโดนยุ้ยแย่งแฟน ถึงขั้นอยากจะบุกไปตบเลยด้วยซ้ำ เกิดอะไรขึ้นกับต้องอยู่ดีๆ ทำไมของขึ้นมาแฉเอาตอนนี้ ทั้งที่ตนเองก็เลิกกับธันญ์ไป 3 เดือนแล้ว วันนี้แฉหมดเปลือกมีคำตอบที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความแค้นของต้องมาเล่าสู่กันฟัง

“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะต้องไปออกรายการและก็ไปพูดความจริงที่นั่น ซึ่งจริงๆ ก่อนหน้านี้มีหลายรายการติดต่อต้องให้ไปออกเยอะเหมือนกันแต่ต้องไม่ออก เพราะตอนนั้นรู้สึกว่ามันยังไม่พร้อม แต่พอเราเลิกกันผ่านไป 3 เดือนแล้วต้องรู้สึกว่าชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป ต้องก็ต้องทำงานต่อไป พอรายการติดต่อมาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไม่ไป และถ้าเกิดเขาถามมาเราก็เข้มแข็งแล้วสามารถที่จะตอบได้”

“ประเด็นที่ถามก็คือประเด็นที่เป็นข่าวแล้วทั้งนั้นเพียงแต่เราไม่เคยออกมาตอบ ไม่เคยออกมาพูด พอไปออกรายการเขายิงประเด็นมามันก็เหมือนเราได้ชี้แจง มันก็เลยเหมือนกับว่า เอ๊ะทำไมเราออกมาพูดตอนนี้ ถ้าถามว่าแฉไหม ต้องว่าไม่ได้แฉ ถ้าจะแฉต้องแฉไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าเป็นช่วงจังหวะที่เราต้องทำงาน ต้องคิดว่าถ้าพร้อมก็ต้องออกมาพูด และต้องก็เป็นคนพูดตรง คนที่เคยเจอเหมือนเราก็คงจะรู้สึกเหมือนเรา ก็ไม่รู้จะมานั่งเฟคทำไม”

“ถ้าใครจะไม่พอใจกับคำตอบต้อง เราก็เข้าใจ เราได้ตอบทุกอย่างไปหมดแล้ว เรารู้สึกยังไงในช่วงเวลา 1 ปี 8 เดือนที่เราทนมา เราก็พูดไปตามนั้น ต้องรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องเฟคแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เราแคร์พี่ธันญ์ และเขาก็อยู่ในสังกัดเดียวกัน เราก็ไม่อยากทำให้ใครต้องเดือดร้อน เราก็คิดว่าไม่พูดดีกว่า แต่พอ ณ จุดนี้ต้องกับเขาจบกันไปแล้วเลยคิดว่าคงจะพูดได้แล้ว”

“พอรายการออกอากาศไปเขา(ธันญ์)ก็โทรมาเลย ทั้งที่ 3 เดือนที่เลิกกันไปเขาไม่เคยติดต่อมาเลย เขาก็ถามว่ายังไงทำไมไปพูดแบบนั้นตอบตรงตอบแรง ต้องก็อธิบายไปว่า เราพูดไปตามความเป็นจริง มันเป็นข่าวที่มีอยู่แล้ว เขาถามมาต้องก็ตอบ มันไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นไม่รู้ หรือเป็นเรื่องที่เราโกหก เขาก็รับฟัง แต่เขาไม่ได้สั่งห้าม เขาไม่มีสิทธิ์ ณ ตอนนี้เรามันเดินคนละทางกันแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์จะมาพูดแบบนี้”

“เขาก็โกรธที่เรามาพูดแบบนี้ แต่ต้องก็บอกว่ามันเป็นความรู้สึกของเรา ถ้ามีใครจะไปถามเขา เขาจะตอบยังไงมันก็เรื่องของเขา เราก็ไม่ยุ่งเหมือนกัน พอมันเป็นเรื่องต้องก็ว่าจะแถลงข่าวพอมีข่าวออกไปเขาก็โทรมาถามว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร เราบอกก็ทำงาน เขาก็ถามจะแถลงอะไร ก็จะแถลงสิ่งที่มันเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ไม่แถลงแล้วเพราะที่บ้านอยากให้จบ แต่วันนี้พี่(นักข่าว)มาตามมาถาม เราก็ต้องตอบ”

“เขาก็บอกว่าจะอะไรทำไมนักหนา แต่เขาไม่ได้ห้าม อย่างที่บอกเขาไม่มีสิทธิ์อะไรและต้องก็ไม่ฟัง ต้องก็แค่พูดความจริงและตอบตรงเท่านั้นเอง แต่อย่างว่าถ้าต้องตอบสร้างภาพ มันก็คงไม่ออกมาเป็นแบบนี้”

“ฟีดแบคหลังจากที่ออกมาพูด บางคนเขาบอกว่าอย่างนี้(ยกนิ้วโป้ง) เขาบอกว่าดีไม่เฟคตรงดี แต่ก็คงมีคนที่ไม่ชอบเหมือนกัน เราก็ทำใจไว้แล้วแต่ก็รู้สึกสบายใจนะที่ได้พูดไปแล้ว เรารู้สึกอึดอัดเพราะไม่เคยได้ไปพูดที่ไหน เผอิญว่ารายการก็ถามคำถามตรงและเอาเหตุผล เราก็ไม่รู้จะปั้นเหตุผลอะไรที่มันดูดี และมันก็อยู่ตรงจุดที่ว่า เราไม่ต้องแคร์ใครแล้ว เขาก็ไปแล้ว มันคือความจริงก็พูดไปเลย”

พูดค่อนข้างแรง ถึงขั้นใช้คำว่า “เกลียดยุ้ย”

“ต้องมีความรู้สึกว่า ตลอดระยะที่เป็นข่าวที่เขาบอกว่า เขาเป็นเพื่อน ถ้าเขาเป็นเพื่อนคุณ และเพื่อนคุณทะเลาะกับแฟนเพราะคุณ ไม่ว่าจะเป็นเพราะข่าวหรืออะไร ทำไมคุณถึงไม่นิ่งทำไมถึงไม่หยุด ซึ่งต้องก็เคยบอกทางฝ่ายชายคนของเราแล้วว่า ช่วยบอกให้เขาเคลียร์ บอกตรงๆ ว่า ต้องรับไม่ได้กับการให้สัมภาษณ์ของเขา ที่จะแบบว่า คนที่ดีที่สุดที่สนิทที่สุดตอนนี้ก็คือคนของเรา คือบางครั้งทำอะไรเกรงใจคนที่เขายืนอยู่ข้างๆ ธันญ์ตลอดบ้าง ซึ่งถ้าเขาไม่มีอะไร เขาก็ไม่น่าจะให้สัมภาษณ์ว่าสนิทกันกับแฟนของเรา”

“คือคนเรามันควรจะรู้ลิมิต และยิ่งรู้ว่ามีปัญหา และปัญหาจากตัวคุณ คุณบอกคนนี้คือเพื่อน แล้วเห็นเพื่อนมีปัญหากับแฟนทำไมไม่หยุด ทำไมไปตอบอะไรแบบนั้นไม่หยุด ความจริงต้องมีอะไรอยากจะพูดเยอะมาก แต่ต้องไม่พูดเลย แล้วทำไมเขาไม่หยุด ต้องมีความรู้สึกเขาต้องการพิสูจน์ความเป็นเพื่อนอะไร ต้องการพิสูจน์อะไร หรือต้องการอะไรกันแน่”

“ต้องบอกไปที่คนของเราว่าเคลียร์ให้หน่อย ก็ไม่เคยได้รับฟีดแบคอะไรกลับมา หรือแม้แต่เขาไปทำงานด้วยกัน รับงานอีเว้นท์ร่วมกัน ต้องก็ไม่เคยได้รับคำอธิบายว่า ไปทำในฐานะอะไร เขาไม่เคยแคร์ว่าต้องรู้สึกยังไง จะคบกันทำไมไม่แคร์กัน ต้องเคยถามว่าจะสร้างกระแสกันหรือเปล่า จะปั้นกันหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่มีคำอธิบายไม่มีอะไรทั้งสิ้น”

“กับความสัมพันธ์กับเขาที่ผ่านมาบอกตรงๆ ว่า ต้องสงสัยแต่ต้องก็เคลียร์กับคนของเราไม่ไปยุ่งกับอีกฝ่าย อย่างง่ายๆ เลยเรื่องโทรศัพท์เราจะหยิบของกันและกันมาดูตลอด ไม่ได้เรียกว่าเช็ค คืออยากหยิบดูก็ดู แต่พอเขาเป็นข่าวด้วยกัน วันดีคืนดีต้องจะหยิบดูโทรศัพท์ เขาไม่ให้ดูเราก็เอ๊ะทำไม เราก็แบบคุยกันหรือเปล่าเนี่ย ส่งข้อความหากันหรือเปล่าขอดูหน่อยนะ เขาก็ไม่ให้ดู(หมายถึงคุยกับยุ้ยหรือเปล่า) ใช่ค่ะ อันนี้เป็นพ้อยท์แรกเลยที่เราสงสัย เขาบอกไม่มีไม่ได้คุย แต่ทำไมถึงดูไม่ได้”

ข้อมูลจาก...ผู้จัดการ ออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็นทั่วไป ใช้คำสุภาพ